อัดเสียงมือใหม่ เลือกไมค์ยังไงไม่ให้พลาด
ถ้าใครลองอัดเสียงหรือเล่นดนตรีจริงจังมาสักพัก คงเคยผ่านไมโครโฟนมาหลายแบบ
การเข้าใจความแตกต่างของไมค์แต่ละประเภทจะช่วยให้คุณเลือกใช้อุปกรณ์ได้เหมาะสมกับงานมากขึ้น
มาทำความรู้จักไมโครโฟนแต่ละประเภทกัน
ไมค์ไดนามิก (Dynamic Microphone)
ไมค์ประเภทนี้ถือเป็นตัว “อเนกประสงค์” ของวงการ
หลักการทำงานของไมค์ไดนามิก คือการแปลงสั่นสะเทือนของขดลวดให้เป็นสัญญาณเสียง มีจุดเด่นคือ
* ราคาย่อมเยา
* ทนทาน ใช้งานได้นาน
* เหมาะกับทั้งเสียงร้องและเครื่องดนตรี
* ไม่ต้องใช้ไฟเลี้ยง (phantom power)
ไมค์คอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone)
ไมค์ชนิดนี้เหมาะมากสำหรับงานที่ต้องการ “รายละเอียด” เช่น เสียงร้อง กีตาร์โปร่ง เปียโน ฯลฯ
ทำงานโดยการเปลี่ยนค่าความจุไฟฟ้าจากแผ่นไดอะแฟรม ทำให้จับเสียงได้ละเอียดกว่าไมค์ประเภทอื่น
* ให้เสียงคมชัดมากกว่าไดนามิกไมค์
* รับเสียงได้ไว เก็บไดนามิกเล็กๆ ได้ดี
* จำเป็นต้องใช้ phantom power
* ราคาสูงกว่าประเภทอื่นเล็กน้อย
ไมค์ริบบอน (Ribbon Microphone)
แม้จะไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในงานสมัยใหม่ แต่ใครที่หลงใหลใน “เสียงอบอุ่นคลาสสิก” มักจะชอบไมค์ประเภทนี้
* ใช้แถบโลหะบางๆ แทนขดลวด
* ให้เสียงนุ่ม ไม่แหลมบาดหู
* เหมาะกับการอัดเสียงที่ต้องการ texture และความวินเทจ
* เดิมทีเปราะบางและแพง แต่ปัจจุบันมีรุ่นใหม่ที่แข็งแรงขึ้นเยอะ
ความเข้าใจใน “ทิศทางการรับเสียง” ของไมค์ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
นอกจากประเภทของไมค์แล้ว อีกสิ่งที่ควรรู้คือ “รูปแบบการรับเสียง” หรือ Polar Pattern
เพราะไมค์แต่ละตัวไม่ได้รับเสียงจากทิศทางเดียวกัน
Omnidirectional (รอบทิศทาง)
* รับเสียงจากทุกด้าน
* เหมาะกับการเก็บบรรยากาศของห้อง หรือเสียงรอบวง
* มักพบในคอนเดนเซอร์รุ่นสูง
Cardioid (ทิศทางเดียว)
* รับเสียงจากด้านหน้าเป็นหลัก
* ตัดเสียงรบกวนจากด้านหลังได้ดี
* เป็นรูปแบบที่นิยมที่สุดในไมค์สำหรับร้องเพลงหรือใช้งานบนเวที
* มีเอฟเฟกต์ใกล้ชิด (Proximity Effect) เมื่ออยู่ใกล้ที่มาของเสียง เสียงเบสจะเด่นขึ้น
Bidirectional (สองทิศทาง / หน้า–หลัง)
* รับเสียงจากด้านหน้าและหลัง ตัดด้านข้าง
* ใช้ในพอดแคสต์แบบนั่งคุยกัน การสัมภาษณ์
* พบมากในไมค์ริบบอน
ไมโครโฟนที่ดีไม่จำเป็นต้องแพงที่สุด
แต่ต้อง "เหมาะกับงาน และเสียงที่คุณต้องการ"
ยิ่งเข้าใจหลักการเบื้องหลังมากเท่าไหร่ การอัดเสียงยิ่งสนุกขึ้นเท่านั้น
Cr: TRIVISION