PA Speaker 101: เสียงดังฟังชัดก็เพราะ “เขา” คนนี้!

เวลาไปดูคอนเสิร์ต หรือแม้แต่เข้าห้องซ้อมดนตรี เคยสงสัยไหมว่า “ทำไมเสียงถึงออกมาเต็มห้องได้ขนาดนี้?”
คำตอบคือ PA Speaker (Public Address Speaker) ฮีโร่ตัวจริงที่ทำให้ทั้งผู้ชมและนักดนตรีได้ยินเสียงชัดทุกโน้ต

วันนี้เราจะมาทำความรู้จัก ประเภทของ PA Speaker และการใช้งานของมันกัน

สองสายหลักของโลก PA: Powered vs Passive

1. Powered Speaker

  • มีแอมป์ในตัว แค่เสียบไฟ + ส่งสัญญาณเสียงมาก็พร้อมลุยได้เลย
  • พกง่าย ติดตั้งสะดวก เหมาะกับงานเล็ก ๆ อย่างมินิคอนเสิร์ต หรือสตรีทเพอร์ฟอร์ม
  • จุดเด่นคือ “เสียงค่อนข้างแฟลต” เหมาะสำหรับใช้เป็นลำโพงมอนิเตอร์ในสตูดิโอ

2. Passive Speaker

  • ต้องต่อกับแอมป์แยกเสียงถึงจะออก
  • เหมาะกับงานใหญ่ เช่น ในคอนเสิร์ตฮอลล์ หรือใช้ฟังเพลงในบ้าน สำหรับผู้รักเครื่องเสียง

ใช้งานจริง: ลำโพงแต่ละแบบทำหน้าที่อะไร?

Main Speaker

  • ลำโพงหลักสำหรับยิงเสียงออกไปหาผู้ชม
  • ปกติจะตั้งเป็นคู่ ด้านซ้าย และขวาของเวที
  • งานใหญ่ระดับสเตเดียมใช้แบบ Line Array แขวนเป็นแนวยาว เพื่อกระจายเสียงไปถึงคนดูทุกมุม

Subwoofer

  • รับผิดชอบเสียงต่ำ ๆ หนัก ๆ
  • ถ้าไม่มีซับ เบสกับกลองกระเดื่องจะฟังดูเบา แต่ถ้ามีเมื่อไหร่… รับรองขนลุกทั้งฮอลล์!
  • จำเป็นสุด ๆ ในคอนเสิร์ตร็อคและ EDM

Floor Monitor

  • ไม่ได้ยิงเสียงไปหาคนดู แต่หันเข้าหาศิลปินบนเวที
  • ทำให้แต่ละคนได้ยินเสียงที่ตัวเองต้องการ เช่น นักร้องอยากฟังเสียงร้องตัวเองดัง ๆ
  • บนเวทีมักมีหลายตัว เพื่อแยกบาลานซ์ให้ศิลปินแต่ละคน

Monitor Speaker

  • สำหรับใช้ในสตูดิโอ หรือ ห้องอัด
  • จุดเด่นคือเสียง “แฟลต” ไม่มีการแต่ง เติม หรือบูสต์ย่านเสียง ทำให้นักดนตรีและโปรดิวเซอร์ฟังรายละเอียดได้ชัดเจน
  • ปัจจุบันมีลำโพงขนาดเล็ก สำหรับโฮมสตูดิโอให้เลือกหลากหลาย สามารถหาซื้อในราคาที่จับต้องได้

สรุป

ครั้งต่อไปที่ได้ไปดูคอนเสิร์ต ลองสังเกตรอบเวทีว่า “ลำโพงตัวไหนยิงไปหาคนดู ตัวไหนวางที่พื้นหันหาศิลปิน” จะรู้เลยว่า แต่ละตัวมีหน้าที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดรวมกันคือทีมเวิร์กที่ทำให้เพลงทรงพลังขึ้นหลายเท่า

เพราะดนตรีไม่ได้มีแค่คนเล่น แต่ยังมี “ระบบเสียง” ที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ไปถึงผู้ชมทุกคนฮอลล์

Credit: NOAH

Visitors: 163,960